มารู้จักกับ Cloud Servers กัน

Cloud Server คืออะไร?

Cloud Server คือระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ให้ทรัพยากรการประมวลผลแก่ผู้ใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ต คุณสามารถมองว่าเซิร์ฟเวอร์คลาวด์เปรียบเสมือนคอมพิวเตอร์ส่วนตัวที่คุณสามารถตั้งค่าและควบคุมได้เช่น แล็ปท็อปหรือเดสก์ท็อป บทความนี้จะอธิบายถึงองค์ประกอบสำคัญของ โครงสร้าง Cloud Server, ความแตกต่างระหว่างCloud Server กับบริการ cloud รูปแบบอื่น ๆ และวิธีเลือกบริการ cloud ที่เหมาะสมสำหรับเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของคุณ

ซอฟต์แวร์ในระบบ cloud

เพื่อให้เข้าใจเซิร์ฟเวอร์คลาวด์ได้ง่ายขึ้น เรามาทำความรู้จักกับซอฟต์แวร์ที่ใช้งานในระบบ cloud

  1. ระบบปฏิบัติการ (Operating Systems)
    การตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์คลาวด์เริ่มต้นด้วยการติดตั้งระบบปฏิบัติการ ปัจจุบันผู้ใช้ส่วนใหญ่นิยมใช้ระบบปฏิบัติการที่พัฒนาบน Linux เช่น Ubuntu หรือ Rocky Linux เพราะมีการสนับสนุนที่หลากหลาย ใบอนุญาตใช้งานที่ยืดหยุ่น และเป็นที่นิยมในระบบเซิร์ฟเวอร์ สามารถดูรายละเอียดการเลือกเพิ่มเติมได้ที่นี่
  1. ซอฟต์แวร์ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ (Server-Side Software)
    ซอฟต์แวร์ชนิดนี้ออกแบบมาเพื่อทำงานในสภาพแวดล้อม cloud ซึ่งไม่มีหน้าจอหรือเดสก์ท็อปแบบคอมพิวเตอร์ทั่วไป การติดตั้งและตั้งค่ามักทำผ่าน ส่วนติดต่อบรรทัดคำสั่ง (Command Line Interface) และให้ผู้ใช้งานเข้าถึงผ่านเว็บเบราว์เซอร์หรือแอปพลิเคชันอื่น ๆ

ประเภทซอฟต์แวร์หลักใน Cloud server

  1. เว็บเซิร์ฟเวอร์ (Web Servers)
    ซอฟต์แวร์นี้ช่วยให้เซิร์ฟเวอร์สามารถสื่อสารกับผู้ใช้งานหรือแอปพลิเคชันบนอินเทอร์เน็ตโดยใช้ โปรโตคอล HTTP ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้ใช้งานป้อน URL ในเว็บเบราว์เซอร์ เบราว์เซอร์จะส่งคำขอไปยังเซิร์ฟเวอร์ และเซิร์ฟเวอร์จะตอบกลับด้วยหน้าเว็บที่ต้องการ หากคุณกำลังตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์คลาวด์สำหรับเว็บไซต์หรือเว็บแอปพลิเคชัน คุณอาจต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เว็บเซิร์ฟเวอร์ เช่น Nginx หรือ Apache HTTP Web Server
  2. API เซิร์ฟเวอร์ (API Servers)
    API (Application Programming Interface) เป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้แอปพลิเคชันต่าง ๆ สื่อสารกันได้ ตัวอย่างหนึ่งของ API เซิร์ฟเวอร์คือเว็บเซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการผ่านโปรโตคอล HTTP API มีหลายประเภท เช่น การดึงข้อมูลสภาพอากาศหรือข้อมูลเที่ยวบินมาใช้ในแอปพลิเคชัน
  3. เซิร์ฟเวอร์ฐานข้อมูล (Database Servers)
    ฐานข้อมูล (Database) หรือที่เรียกว่าเซิร์ฟเวอร์ฐานข้อมูล เป็นเซิร์ฟเวอร์ที่เก็บข้อมูลและให้บริการข้อมูลแก่ระบบอื่น ๆ ผ่าน API คำสั่งฐานข้อมูล เซิร์ฟเวอร์เหล่านี้อาจเข้าถึงได้ผ่านเบราว์เซอร์ หรือในบางกรณีใช้เพื่อการประมวลผลภายในเท่านั้น

Cloud Server และทางเลือกอื่น ๆ

Cloud Server เป็นเสมือนคอมพิวเตอร์เสมือนที่ครบครัน ดังนั้นบริการคลาวด์ประเภทอื่น ๆ มักเปรียบเทียบได้โดยใช้ Cloud Server เป็นจุดอ้างอิง เช่น บางผู้ให้บริการ cloud มีการให้บริการโฮสต์สำหรับเว็บไซต์หรือฐานข้อมูลโดยเฉพาะ ซึ่งบริการเหล่านี้ช่วยลดความยุ่งยากในการจัดการเซิร์ฟเวอร์โดยตรง แม้ว่าพื้นฐานยังอาศัยการทำงานของเซิร์ฟเวอร์เสมือนในคลัสเตอร์

ความแตกต่างหลักคือ Cloud Server หรือที่บางครั้งเรียกว่า VPS (Virtual Private Server) สามารถตั้งค่าและรันซอฟต์แวร์ใด ๆ ได้ตามความต้องการ ในขณะที่บริการอื่น ๆ มักออกแบบให้รองรับการทำงานเฉพาะด้านเท่านั้น

การเปลี่ยนแปลงของตลาดในอดีต

ก่อนที่การทำเสมือนจริง (Virtualization) จะได้รับความนิยม ผู้ให้บริการโฮสต์เว็บไซต์มักจัดสรรเว็บเซิร์ฟเวอร์ เช่น Nginx หรือ Apache เพื่อรองรับผู้ใช้หลายรายพร้อมกัน ผู้ใช้แต่ละคนจะมีสิทธิ์ใช้งานเฉพาะของตัวเอง บริการนี้สะดวกเพราะผู้ใช้ไม่ต้องบริหารจัดการเซิร์ฟเวอร์เอง แต่มีข้อจำกัด เช่น รองรับเฉพาะเว็บไซต์แบบคงที่ (Static Websites) ซึ่งประกอบด้วย HTML, CSS และ Javascript เท่านั้น หรือแอปพลิเคชัน PHP ที่ไม่มีการพึ่งพาซอฟต์แวร์เพิ่มเติม

ปัจจุบัน VPS หรือเซิร์ฟเวอร์คลาวด์ได้รับความนิยมมากขึ้น แม้ว่าการตั้งค่าและจัดการเซิร์ฟเวอร์คลาวด์สำหรับการใช้งานจริง (Production) จะต้องการความรู้เกี่ยวกับ Linux และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด เช่น การรักษาความปลอดภัยและการตั้งค่าการปรับใช้งาน (Deployment)

ควรใช้เซิร์ฟเวอร์คลาวด์หรือไม่?

Cloud Server  มาพร้อมกับฟีเจอร์ความปลอดภัยที่เหมาะสม ไม่จำเป็นต้องตั้งค่าแบบขนาดใหญ่เพื่อใช้งานซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สอย่างปลอดภัย โดยเซิร์ฟเวอร์ส่วนใหญ่มีการตั้งค่ามาตรฐานที่ปลอดภัยและอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ ตัวอย่างเช่น การตั้งค่าไฟร์วอลล์อย่างง่าย เช่น ufw เพื่อเปิดพอร์ตเครือข่ายตามที่จำเป็น สามารถช่วยรักษาความปลอดภัยได้ หรือการใช้ซอฟต์แวร์เซิร์ฟเวอร์อย่าง Nginx ซึ่งได้รับการใช้งานอย่างกว้างขวางก็ช่วยลดความเสี่ยงในด้านความปลอดภัยได้

ทางเลือกที่ทันสมัยสำหรับ Cloud server

  1. เว็บไซต์แบบคงที่ (Static Websites)
    เว็บไซต์แบบคงที่ในปัจจุบันสามารถใช้ฟีเจอร์ Javascript ที่ทันสมัยเพื่อลดความจำเป็นในการมีเซิร์ฟเวอร์ด้านหลัง (Backend Server) ผู้ให้บริการบางรายเรียกบริการเหล่านี้ว่า Headless CMS และมักรวมเครื่องมือสำหรับการสร้างเว็บไซต์และฟอร์มต่าง ๆ
  2. ฟังก์ชันแบบไร้เซิร์ฟเวอร์ (Serverless Functions)
    ฟังก์ชันนี้คือสคริปต์ที่สามารถทำงานแบบครั้งเดียวโดยไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์แบบเต็มตัว ตัวอย่างเช่น การเรียกใช้งานคำสั่งสั้น ๆ ในสภาพแวดล้อมที่จัดเตรียมไว้ ฟังก์ชันนี้สามารถใช้ร่วมกับเว็บไซต์แบบคงที่ได้ในบางกรณี ซึ่งวิธีนี้มักเรียกว่า Jamstack

การใช้เว็บไซต์แบบคงที่และฟังก์ชันแบบไร้เซิร์ฟเวอร์ช่วยลดปัญหาด้านการบำรุงรักษาและความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับเซิร์ฟเวอร์คลาวด์ อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดคือรองรับการทำงานในขอบเขตที่จำกัดเท่านั้น เช่น หากคุณต้องการใช้ Docker Container ร่วมกับ Nginx สำหรับการตั้งค่าพิเศษ คุณจะยังคงต้องใช้เซิร์ฟเวอร์คลาวด์เต็มรูปแบบ

คุณค่าของเซิร์ฟเวอร์คลาวด์

เซิร์ฟเวอร์คลาวด์สามารถรันซอฟต์แวร์ได้หลากหลายและสามารถใช้งานเหมือนกับคอมพิวเตอร์จริง สำหรับนักพัฒนาที่คุ้นเคยกับระบบ Linux การตั้งค่าและปรับใช้งานซอฟต์แวร์ในคลาวด์จะมีความคล้ายคลึงกับการใช้งานบนคอมพิวเตอร์ส่วนตัว แต่มีความยืดหยุ่นและพลังประมวลผลมากกว่า

ข้อสรุป: เซิร์ฟเวอร์คลาวด์เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นและทรัพยากรในการพัฒนาและปรับใช้แอปพลิเคชันในสภาพแวดล้อมที่คล้ายคอมพิวเตอร์ส่วนตัวบนอินเทอร์เน็ต

วิธีเลือกขอบเขตของเซิร์ฟเวอร์ (Scope your Server)

เช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์จริง (Bare-metal Computer) ประสิทธิภาพของ Cloud Server ขึ้นอยู่กับสเปคของฮาร์ดแวร์ และราคาก็จะเปลี่ยนแปลงตามสเปคที่เลือก เซิร์ฟเวอร์คลาวด์ได้รับการจัดสรรทรัพยากรภายในคลัสเตอร์ และสามารถปรับเพิ่มหรือลดทรัพยากรได้อย่างรวดเร็วตามความต้องการ

สเปคพื้นฐานที่ควรพิจารณา

  1. จำนวนคอร์ CPU
    เซิร์ฟเวอร์แต่ละตัวจะมีจำนวนคอร์ของ CPU ที่กำหนดไว้ ซึ่งมีผลต่อความเร็วในการประมวลผล
  2. หน่วยความจำ (RAM)
    RAM ช่วยให้เซิร์ฟเวอร์สามารถจัดการกับงานที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น เช่น การจัดการผู้ใช้หลายรายพร้อมกัน
  3. พื้นที่จัดเก็บข้อมูล (Disk Storage)
    ความจุของดิสก์ที่ใช้ในเซิร์ฟเวอร์มีผลต่อการเก็บข้อมูลและการประมวลผลไฟล์ ดิสก์ส่วนใหญ่จะมีความเร็วเทียบเท่ากับ SSD ที่ใช้งานทั่วไป
  4. ข้อจำกัดอื่น ๆ
    • ความเร็ว IOPS (การอ่าน/เขียนข้อมูล)
    • ขีดจำกัดของปริมาณข้อมูลเครือข่าย (Network Traffic) ซึ่งหากเกินขีดจำกัด อาจถูกลดความเร็ว (Throttle)

การขยายพื้นที่จัดเก็บข้อมูล

ผู้ให้บริการคลาวด์ส่วนใหญ่มีตัวเลือกสำหรับซื้อพื้นที่จัดเก็บข้อมูลเพิ่มเติม เช่น

  • Block Storage: ใช้สำหรับเก็บข้อมูลที่ต้องการความเร็วในการเข้าถึงสูง
  • Object Storage: ใช้เก็บไฟล์ขนาดใหญ่ เช่น รูปภาพหรือวิดีโอ

การใช้พื้นที่เพิ่มเติมดีกว่าการเพิ่มพื้นที่จัดเก็บของเซิร์ฟเวอร์หลัก เพราะการเก็บข้อมูลทั้งหมดในพาร์ติชันเดียวอาจทำให้การขยายระบบในอนาคตยุ่งยาก (แต่ไม่ต้องกังวลทาง hostatom ของเราก็มีบริการให้ความช่วยเหลือการย้ายข้อมูลสำหรับผู้ใช้บริการ cloud server ด้วยเช่นกัน)

การเข้าถึงผ่าน IP Address

เพื่อให้เซิร์ฟเวอร์คลาวด์ใช้งานได้บนอินเทอร์เน็ต จำเป็นต้องมี Public IP Address ซึ่งอาจเป็น

  • IPv4: เช่น 123.123.123.123
  • IPv6: เช่น 2001:0db8:0000:0000:0000:ff00:0042:8329

ผู้ให้บริการบางรายจะจัดสรร IP ให้โดยอัตโนมัติ ในขณะที่บางรายอาจต้องซื้อ IP เพิ่มเอง โดย IP เหล่านี้เรียกว่า Reserved IPs ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูงในกรณีที่มีการใช้งานเซิร์ฟเวอร์จำนวนมากนอกจากนี้ เซิร์ฟเวอร์มักใช้งานร่วมกับ ชื่อโดเมน (Domain Name) เช่น https://my_domain.com โดยการตั้งค่าโดเมนมักทำผ่านผู้ให้บริการจดทะเบียน (Registrar) และกำหนดค่า DNS Records เพื่อเชื่อมกับ IP Address สามารถดูรายละเอียดเกี่ยวกับบริการจดโดเมนได้ที่นี่

การเข้าถึงและการจัดการ

การทำงานกับเซิร์ฟเวอร์คลาวด์จำเป็นต้องใช้ เทอร์มินัล (Terminal) ทั้งในเครื่องของคุณเองและในการเชื่อมต่อจากระยะไกล การเชื่อมต่อระยะไกลส่วนใหญ่ใช้ โปรโตคอล SSH (Secure Shell) ซึ่งเป็นโปรโตคอลที่ปลอดภัยและใช้งานบ่อย

  • SSH ใช้พอร์ต 22 สำหรับการเข้าถึงระยะไกล
  • HTTP/HTTPS ใช้พอร์ต 80 และ 443 ตามลำดับ

Was this article helpful?

Related Articles