หลังจากที่ได้มีการติดตั้ง Nginx เพื่อรองรับเนื้อหา และติดตั้ง MariaDB เพื่อจัดเก็บและจัดการข้อมูล ตอนนี้สามารถติดตั้ง PHP เพื่อประมวลผลโค้ดและสร้างเนื้อหาแบบไดนามิกสำหรับเว็บเซิร์ฟเวอร์ได้ แม้ว่า Apache จะถูกฝังไว้ใน PHP แต่ละคำขอ แต่ Nginx ต้องการโปรแกรมภายนอกเพื่อจัดการการประมวลผล PHP และทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่าง PHP กับเว็บเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งช่วยให้เว็บไซต์ที่ใช้ PHP ส่วนใหญ่มีประสิทธิภาพโดยรวมดีขึ้น แต่ต้องมีการกำหนดค่าเพิ่มเติมโดนจะต้องติดตั้ง php-fpm ซึ่งย่อมาจาก “PHP fastCGI process manager” เพื่อเป็นการบอกให้ Nginx ส่งคำขอ PHP ไปยังซอฟต์แวร์นี้เพื่อประมวลผล นอกจากนี้ จะต้องมี php-mysqlnd ซึ่งเป็นโมดูล PHP ที่ช่วยให้ PHP สามารถสื่อสารกับฐานข้อมูลที่ใช้ MySQL ได้ แพ็คเกจ Core PHP จะถูกติดตั้งโดยอัตโนมัติ
หากต้องการติดตั้งแพ็คเกจ php-fpm และ php-mysql ให้ใช้คำสั่ง
sudo dnf install php-fpm php-mysqlnd
เมื่อการติดตั้งเสร็จสิ้น จะต้องแก้ไขไฟล์ /etc/php-fpm.d/www.conf เพื่อปรับการตั้งค่าบางอย่าง ปกติแล้วโปรแกรมแก้ไขข้อความเริ่มต้นที่มาพร้อมกับ CentOS 8 คือ vi ตัวโปรแกรม vi เป็นโปรแกรมแก้ไขข้อความที่ค่อนข้างซับซ้อนสำหรับผู้ใช้ที่ไม่มีประสบการณ์ในการใช้งาน แนะนำว่าให้ติดตั้งโปรแกรมแก้ไขที่ใช้งานง่ายขึ้น เช่น nano เพื่ออำนวยความสะดวกในการแก้ไขไฟล์การกำหนดค่าบนเซิร์ฟเวอร์ CentOS 8
sudo dnf install nano
ตอนนี้เปิดไฟล์การกำหนดค่า /etc/php-fpm.d/www.conf โดยใช้ nano หรือโปรแกรมแก้ไขที่เลือก
sudo nano /etc/php-fpm.d/www.conf
ตอนนี้มองหาคำสั่งผู้ใช้และกลุ่ม หากใช้ nano สามารถกด CTRL+W เพื่อค้นหาคำเหล่านี้ภายในไฟล์ที่เปิดอยู่
จะสังเกตเห็นว่าทั้งตัวแปร user และ group ถูกตั้งค่าเป็น Apache เราจำเป็นต้องเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้เป็น nginx
จากนั้นบันทึกและปิดไฟล์เมื่อแก้ไขเสร็จแล้ว หากใช้นาโน ให้กด CTRL + X จากนั้น Y และ ENTER
หากต้องการเปิดใช้งานและเริ่มบริการ php-fpm ให้เรียกใช้
sudo systemctl start php-fpm
สุดท้ายให้รีสตาร์ทเว็บเซิร์ฟเวอร์ Nginx เพื่อโหลดไฟล์การกำหนดค่าที่สร้างโดยการติดตั้ง php-fpm
sudo systemctl restart nginx
ขณะนี้เว็บเซิร์ฟเวอร์ได้รับการตั้งค่าอย่างสมบูรณ์แล้ว