
อยากให้เว็บไซต์ของคุณออนไลน์ตลอดเวลาไหม? ปัญหาเว็บล่มบ่อย ๆ อาจทำให้คุณเสียลูกค้า และโอกาสทางธุรกิจได้! รู้หรือไม่ว่า Uptime คือปัจจัยสำคัญในการเลือก Hosting? แล้วทำไมถึงสำคัญกับเว็บไซต์ของคุณ? มาหาคำตอบ และเรียนรู้วิธีเช็ก Uptime ให้ชัวร์ก่อนเลือก Hosting กัน!
Uptime คืออะไร?

Uptime คือ ช่วงเวลาที่ Server และเว็บไซต์ออนไลน์ และทำงานได้ตามปกติ ซึ่ง Uptime จะถูกวัดเป็นเปอร์เซ็นต์จากช่วงเวลาทั้งหมดในหนึ่งเดือน หรืออธิบายง่าย ๆ ดังนี้
- Uptime สูง = เว็บไซต์ไม่ล่ม (Downtime ต่ำ) ผู้เข้าชมสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้ตลอดเวลา
- Uptime ต่ำ = เว็บไซต์ล่มบ่อย (Downtime สูง) ผู้เข้าชมไม่สามารถเข้าใช้งานเว็บไซต์ได้
Uptime แต่ละระดับต่างกันยังไง?

- Uptime 99.9% = เว็บไซต์อาจล่มหรือหยุดทำงานแค่ 43 นาที/เดือน
- Uptime 99.5% = เว็บไซต์อาจล่มถึง 3 ชั่วโมง/เดือน
- Uptime 98% = เว็บไซต์อาจล่มถึง 14 ชั่วโมง/เดือน
Uptime ต่ำส่งผลต่อเว็บไซต์ของคุณยังไง?
1) ส่งผลต่อประสบการณ์ของผู้ใช้
ลองนึกภาพว่าถ้ามีคนอยากเข้ามาดูเว็บไซต์ของคุณ แต่พอคลิกเข้าไป เว็บดันล่มซะงั้น! ก็อาจทำให้พวกเขารู้สึกว่าเว็บไซต์ไม่น่าเชื่อถือ และเลือกไปใช้บริการคู่แข่ง หรือเข้าชมเว็บอื่นแทนไปเลย
2) กระทบต่อยอดขาย และรายได้
โดยเฉพาะธุรกิจที่มีการขายออนไลน์ เช่น E-commerce ถึงเว็บจะล่มแค่ไม่กี่นาที ก็อาจทำให้คุณเสียโอกาส เสียลูกค้า และยอดขายจำนวนมากได้เลยนะ
3) กระทบต่อ SEO และอันดับการค้นหา
เพราะ Google ให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่เสถียร และโหลดได้เร็ว ถ้าเว็บล่มบ่อย Googlebot ก็เข้าไปเก็บข้อมูลเว็บไซต์ไม่ได้ ส่งผลให้อันดับ SEO ลดลง ทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกค้นหาเจอยากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
แล้วจะเช็ก Uptime ของ Hosting แต่ละเจ้าได้ยังไง?
1) ดูจากข้อมูลที่ผู้ให้บริการแจ้ง
Hosting ที่ดีมักแจ้งค่า Uptime ไว้บนหน้าเว็บไซต์อย่างชัดเจน เช่น การันตี Uptime 99.9% หรือมี SLA (Service Level Agreement) ข้อตกลงระหว่างผู้ให้บริการ และลูกค้า เช่น ในกรณีที่โฮสติ้งไม่สามารถรักษาค่า Uptime ได้ตามข้อตกลงที่เขียนไว้ ผู้ให้บริการจะต้องรับผิดชอบ และจะชดเชยให้กับลูกค้าตามข้อตกลง
2) อ่านรีวิวจากผู้ใช้จริง
ก่อนเลือกใช้บริการโฮสติ้ง ควรอ่านรีวิวจากผู้ที่เคยใช้บริการ Hosting แต่ละเจ้าก่อน เช่น รีวิวในเว็บไซต์, กลุ่ม Facebook ด้านโฮสติ้ง หรือแพลตฟอร์ม Social Media ต่าง ๆ เพราะรีวิวจากผู้ใช้จริงจะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของโฮสติ้งแต่ละเจ้า ทั้งด้านความเสถียร (Uptime), ความเร็ว, การซัพพอร์ต และความคุ้มค่า
ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการเลือกใช้โฮสติ้ง
3) ใช้เครื่องมือตรวจสอบ Uptime
ลองใช้เครื่องมือเหล่านี้เพื่อตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณยังออนไลน์อยู่มั้ย ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจนะ! เราขอแนะนำ 3 แพลตฟอร์ม ที่จะช่วยคุณตรวจสอบสถานะเซิร์ฟเวอร์ และเว็บไซต์ได้ ซึ่งระบบเหล่านี้จะคอยติดตาม และส่งแจ้งเตือนให้คุณทันทีหากเว็บล่ม หรือหยุดทำงาน ช่วยให้คุณรู้ปัญหาก่อนที่จะมันจะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งาน และเว็บไซต์ของคุณนั่นเอง
1.UptimeRobot – (https://uptimerobot.com/)

UptimeRobot เป็นบริการมอนิเตอร์เว็บไซต์ และเซิร์ฟเวอร์ที่ช่วยตรวจสอบว่าเว็บไซต์ หรือบริการออนไลน์ของคุณยังทำงานปกติอยู่หรือไม่ (Uptime/Downtime) โดยหากพบปัญหาต่าง ๆ ระบบจะแจ้งเตือนผ่านอีเมล, SMS, Line, Discord และช่องทางอื่น ๆ ให้ทันที
2.Montastic – (https://www.montastic.com/)

Montastic เป็นบริการมอนิเตอร์เว็บไซต์ที่ช่วยตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณยังออนไลน์อยู่หรือไม่ หากพบว่าเว็บไซต์ล่ม (Downtime) หรือไม่สามารถเข้าถึงได้ ระบบจะส่งอีเมลแจ้งเตือนเมื่อเว็บไซต์หยุดทำงาน และส่งอีเมลแจ้งอีกครั้งเมื่อเว็บไซต์กลับมาทำงานได้ตามปกติ
3.Uptimia – (https://www.uptimia.com/)

Uptimia เป็นบริการมอนิเตอร์เว็บไซต์ และเซิร์ฟเวอร์ที่ช่วยตรวจสอบสถานะออนไลน์ (Uptime) และประสิทธิภาพเว็บไซต์ โดยจะส่งแจ้งเตือนทันทีหากเว็บไซต์ล่ม (Downtime) หรือโหลดช้า ผ่านทางอีเมล, SMS, Microsoft Teams และช่องทางอื่น ๆ
4) ทดสอบด้วยตัวเอง
หากยังไม่มั่นใจ ให้ทดลองใช้บริการโฮสติ้งของผู้ให้บริการเจ้าที่สนใจดูก่อน และใช้ช่วงเวลานี้เพื่อติดตาม Uptime และความเสถียรของเซิร์ฟเวอร์ด้วยเครื่องมือที่แนะนำข้างต้น อาจเป็นตัวช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกใช้งานโฮสติ้งแต่ละเจ้าได้มากขึ้น
สรุปง่าย ๆ ได้ว่า Uptime 99.9% คือมาตรฐานที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณออนไลน์ตลอดเวลา ช่วยลดโอกาสเว็บไซต์ล่มที่อาจทำให้เสียโอกาส เสียลูกค้า และอันดับ SEO นั่นเอง
ดังนั้น หากคุณกำลังมองหาบริการโฮสติ้งที่เสถียร และเชื่อถือได้ ไม่ว่าจะเป็นบริการ Web Hosting, WordPress Hosting, Reseller Hosting ฯลฯ ไว้ใจ hostatom ได้เลย เพราะเรามีการันตี Uptime 99.9% พร้อมการซัพพอร์ตอย่างจริงใจตลอด 24/7!