เวลาพูดที่ถึง Microsoft Office หลาย ๆ คนอาจจะนึกถึงแค่ Word, Excel, PowerPoint ที่มักคุ้นเคยกันดี แต่จริง ๆ แล้ว Microsoft Office มีหลายรูปแบบ หลายแพ็กเกจที่ออกแบบมาตอบโจทย์การใช้งานที่ต่างกันออกไปตามความต้องการของผู้ใช้ โดยแบ่งออกได้ 4 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้
ประเภทของ Microsoft Office
1. Microsoft Office แบบซื้อขาด (One-Time Purchase)
เป็นเวอร์ชันที่ซื้อครั้งเดียวและใช้งานได้ตลอด โดยไม่ต้องคอยจ่ายรายปีหรือรายเดือน เช่น
- Office Home & Student 2021 – Word, Excel, PowerPoint, OneNote
- Office Home & Business 2021 – เพิ่ม Outlook เข้ามา
- Office Professional 2021 – ครบทุกแอป (รวม Access และ Publisher ด้วย)
ข้อดี
- ไม่ต้องคอยจ่ายค่าสมาชิกอยู่ตลอด
ข้อจำกัด
- ไม่มีการอัปเดตฟีเจอร์ใหม่หลังจากซื้อ (มีอัปเดตแค่แพตช์ความปลอดภัย)
- ใช้ได้กับอุปกรณ์เดียวตามลิขสิทธิ์ (License) ที่ซื้อ
- ไม่มี OneDrive สำหรับเก็บไฟล์บนคลาวด์
- ไม่รองรับฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น ฟีเจอร์ทำงานร่วมกัน (Co-Authoring) แบบเรียลไทม์
เหมาะกับ
- ผู้ใช้งานทั่วไปที่ไม่อยากคอยจ่ายเงินทุกเดือนหรือปี
- คนที่ไม่ได้เปลี่ยนเครื่องคอมพิวเตอร์ในการใช้งานบ่อย
- ผู้ที่เน้นใช้งาน Word, Excel และ PowerPoint เป็นหลัก
2. Microsoft 365 (แบบสมัครสมาชิกรายเดือน/รายปี)
ระบบสมัครสมาชิกที่จ่ายเป็นรายเดือนหรือรายปี สามารถใช้งานใช้งานได้หลายอุปกรณ์ และมีการอัปเดตฟีเจอร์ใหม่อยู่เสมอ รวมถึงพื้นที่ OneDrive และบริการคลาวด์อื่น ๆ
ข้อดี
- ได้ Office ครบทุกแอป พร้อม Outlook และ OneDrive 1 TB/ผู้ใช้ (สูงสุด 6 ผู้ใช้)
- อัปเดตฟีเจอร์ใหม่อัตโนมัติ (เช่น Copilot AI, Loop, Excel Data Types)
- ติดตั้งได้หลายอุปกรณ์ทั้ง PC, Mac, iPad และมือถือ
- ใช้งานร่วมกันในทีมแบบเรียลไทม์ (Co-Authoring, Comments, Chat)
ข้อจำกัด
- ต้องจ่ายเงินอยู่เสมอ หากหยุดจ่ายจะใช้งานแอปไม่ได้เต็มประสิทธิภาพ
- ขึ้นอยู่กับอินเทอร์เน็ตในบางฟีเจอร์ เช่น Autosave, Sync และ OneDrive
เหมาะกับ
- นักเรียน นักศึกษา ฟรีแลนซ์ที่ใช้งานหลายอุปกรณ์
- ผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นและ Cloud
- ทีมงานหรือองค์กรที่ต้องทำงานร่วมกันตลอดเวลา
3. Microsoft Office Online (ฟรี)
ใช้งาน Office ฟรีผ่านเว็บเบราว์เซอร์ เพียงแค่มีบัญชี Microsoft ก็ใช้งาน Word, Excel และ PowerPoint ได้
ข้อดี
- ใช้งานได้ฟรี
- เข้าถึงจากอุปกรณ์ใดก็ได้โดยไม่ต้องติดตั้งแอป
- ใช้ทำงานร่วมกันเบื้องต้นได้
ข้อจำกัด
- ไม่มีแอปบนเครื่อง ใช้งานได้เฉพาะในเบราว์เซอร์
- มีฟีเจอร์ที่จำกัด เช่น ใช้ Mail Merge หรือ PivotTable ขั้นสูงไม่ได้
- ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอยู่ตลอด
เหมาะกับ
- นักเรียน นักศึกษาที่มีงบจำกัด
- ผู้ใช้งานทั่วไปที่เน้นใช้งานเอกสารพื้นฐาน
- คนที่ต้องแก้เอกสารเร็ว ๆ จากอุปกรณ์อื่น
4. Microsoft Office แบบองค์กร (Volume Licensing / LTSC)
เวอร์ชันที่ออกแบบมาสำหรับองค์กรขนาดกลางถึงใหญ่ที่ต้องการซื้อไลเซนส์เป็นชุดจำนวนมาก เช่น Office LTSC 2021, Office 365 Enterprise (E1, E3, E5)
ข้อดี
- ซื้อ License จำนวนมากได้ในราคาประหยัด
- รองรับการปรับแต่ง/ติดตั้งแบบรวมศูนย์ผ่านเครื่องมือ IT
- มีตัวเลือกแบบไม่มีฟีเจอร์คลาวด์ (LTSC) สำหรับเครื่องออฟไลน์
ข้อจำกัด
- ต้องมีแผนจัดการไลเซนส์และ IT ภายใน
- LTSC ไม่มีฟีเจอร์ใหม่ตลอดอายุการซัพพอร์ต
- การจัดซื้อ-ต่ออายุอาจซับซ้อนกว่าแบบทั่วไป
เหมาะกับ
- องค์กรที่มีหลายเครื่องและต้องการความเสถียร
- หน่วยงานราชการ โรงงาน ระบบ POS ที่ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
Office แต่ละประเภท ใช้ License แบบไหน?
เวลาจะซื้อ Microsoft Office นอกจากเลือกประเภทของซอฟต์แวร์แล้ว สิ่งที่ต้องคิดอีกอย่างก็คือ License (สิทธิการใช้งาน) เพราะ License แต่ละแบบจะเป็นตัวกำหนดทั้งจำนวนเครื่องที่ติดตั้งได้ และสิทธิ์ในการโอนย้าย License โดยสามารถแบ่งประเภทของ License ได้ดังนี้
1. OEM License
License ที่ติดมากับคอมพิวเตอร์ใหม่ ซึ่งมักถูกติดตั้งล่วงหน้ามาแล้วจากโรงงาน (เช่น Dell, HP, Lenovo)
ข้อดี
- ราคาถูกกว่าซื้อแยก
- ใช้งานได้ทันทีเมื่อตั้งค่าเครื่อง
ข้อจำกัด
- License จะติดอยู่กับเครื่องนั้น ๆ โดยถ้าเครื่องเสียหรือเปลี่ยนเครื่องใหม่ จะไม่สามารถโอน License ไปยังเครื่องอื่นได้
- ซื้อแยกมาลงเครื่องเองไม่ได้
เหมาะกับ
- ผู้ที่ซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่พร้อมใช้ Office แบบพื้นฐาน
- คนที่ไม่คิดจะอัปเกรดหรือเปลี่ยนเครื่องใหม่ในเร็ว ๆ นี้
2. Retail License
License ที่ขายแยกเป็นกล่อง หรือแบบดาวน์โหลด เมื่อซื้อมาแล้วสามารถติดตั้งเองได้
ข้อดี
- โอนย้าย License ได้ เมื่อต้องการเปลี่ยนเครื่อง
- มีการซัพพอร์ตจาก Microsoft โดยตรง
ข้อจำกัด
- ราคาค่อนข้างสูงกว่าแบบ OEM
- License ใช้ติดตั้งหรือโอนย้ายได้ครั้งละ 1 เครื่อง
เหมาะกับ
- ผู้ใช้งานทั่วไปที่เปลี่ยนอุปกรณ์ทำงานบ่อย
- คนที่ต้องการ License ที่มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน
3. Volume License
License จำนวนมากในราคาพิเศษ สำหรับองค์กร โรงเรียน หรือหน่วยงานรัฐบาล พร้อมการจัดการ License แบบรวมศูนย์
ข้อดี
- ติดตั้งได้หลายเครื่อง (ตามจำนวน License ที่ซื้อ)
- ควบคุมการใช้งานได้ง่าย ผ่านระบบ Key Management Services (KMS) หรือ Multiple Activation Key (MAK)
- มีรุ่นพิเศษ เช่น Office LTSC ที่ไม่มีฟีเจอร์ Cloud
ข้อจำกัด
- มีจำนวนการซื้อขั้นต่ำ (ขึ้นอยู่กับนโยบาย Microsoft ในแต่ละประเทศ)
- การตั้งค่า และการจัดการต้องใช้ความรู้ด้าน IT มากขึ้น
เหมาะกับ
- องค์กรขนาดกลางถึงใหญ่
- บริษัทที่มีนโยบายด้าน IT เฉพาะตัว
4. Subscription License
License แบบจ่ายค่าบริการเป็นรายเดือนหรือรายปี (เช่น Microsoft 365) โดยจะได้รับการอัปเดตฟีเจอร์ล่าสุด และบริการ Cloud (OneDrive, Teams, Exchange)
ข้อดี
- ใช้งานข้ามอุปกรณ์ได้ (PC, Mac, มือถือ)
- ได้พื้นที่เก็บไฟล์บน OneDrive (อย่างน้อย 1TB/คน)
- มีฟีเจอร์ใหม่มาให้ใช้เรื่อย ๆ เช่น Copilot AI, Loop
ข้อจำกัด
- ต้องต่ออายุเรื่อย ๆ
- ถ้าเลิกจ่าย จะไม่สามารถใช้ซอฟต์แวร์ได้เต็มรูปแบบ (เข้าสู่โหมด Read Only)
เหมาะกับ
- ฟรีแลนซ์ ธุรกิจขนาดเล็กถึงใหญ่
- คนที่ต้องการเทคโนโลยีใหม่ ๆ ตลอดเวลา
- ผู้ที่ต้องใช้งานหลายอุปกรณ์พร้อมกัน
สรุปแล้วไม่ว่าคุณจะเป็นนักเรียน ฟรีแลนซ์ คนทำงาน หรือองค์กรใหญ่ ก็สามารถเลือกใช้ Office ที่เหมาะกับการใช้งานและงบประมาณของตัวเองได้ไม่ยาก หรือหากต้องการสมัครใช้งาน Microsoft 365 สามารถเลือกใช้บริการจาก hostatom ที่มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาและดูแลระบบอย่างครบวงจร