Backups & Restore บน Hosting สำคัญขนาดไหน?

สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นทำเว็บไซต์ การสร้างเว็บให้เสร็จและออนไลน์ได้อาจดูเหมือนเป็นเป้าหมายหลักที่สำคัญที่สุด แต่อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน และมักถูกมองข้ามโดยมือใหม่ก็คือการสำรองข้อมูล (Backup) และการกู้คืนข้อมูล (Restore) นั่นเอง เพราะถึงแม้ว่าเว็บไซต์ของคุณจะดูไม่มีอะไรซับซ้อนหรือเพิ่งเริ่มต้นใช้งาน หากมีข้อมูลเพียงนิดเดียวสูญหาย อาจทำให้คุณต้องมาเริ่มต้นใหม่หมดเลยก็ได้นะ

ทำไมต้อง Backup เว็บไซต์?

ในการทำเว็บ ไม่ว่าใครก็ตาม เว็บไซต์สามารถเกิดปัญหาได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะ….

  • อัปเดตปลั๊กอิน/ธีม แล้วเว็บล่ม
  • โดนมัลแวร์หรือแฮกเกอร์ลง
  • ลบไฟล์ผิด หรือแก้โค้ดพลาด
  • ย้ายโฮสต์แล้วข้อมูลไม่ครบ
  • เกิดปัญหาทางเทคนิคอื่น ๆ

ไม่ว่าปัญหาจะเกิดจากอะไรก็ตาม หากไม่มีการสำรองข้อมูลเอาไว้เลย โอกาสในการกู้คืนเว็บกลับมาอาจจะยาก หรือไม่ได้เลยก็ได้ ซึ่งการมี Backup ไว้นี่แหละจะเปรียบเหมือนกับว่าเรามีชีวิตสำรองให้กับเว็บไซต์ ที่ช่วยให้กู้เว็บกลับได้ทุกครั้งเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น

Backup ได้กี่แบบ?

1. Manual Backup (สำรองข้อมูลเอง)

การที่ผู้ใช้เข้าไปกดสำรองข้อมูลด้วยตัวเอง โดยผ่านช่องทางหลัก ๆ อย่าง Control Panel ที่ผู้ให้บริการ Hosting มีให้ (cPanel/DirectAdmin/Plesk) โปรแกรม FTP และการ Export ไฟล์จาก CMS (WordPress)

ข้อดี – ควบคุมเองได้ อยากสำรองข้อมูลตอนไหนก็ได้
ข้อเสีย – ต้องทำด้วยตัวเองเสมอ และอาจลืมสำรองข้อมูลได้

2. Automatic Backup (สำรองข้อมูลอัตโนมัติจากโฮสต์)

ปัจจุบันนี้ Hosting หลาย ๆ เจ้ามักจะมีระบบสำรองข้อมูลให้โดยอัตโนมัติ ซึ่งอาจมีบางรายละเอียดที่ต่างกัน เช่น สำรองข้อมูลเป็นรายวัน/สัปดาห์/เดือน สำรองได้ทั้งไฟล์เว็บไซต์และฐานข้อมูล เก็บไฟล์ย้อนหลังได้หลายเวอร์ชัน เป็นต้น

ข้อดี – สะดวก ไม่ต้องทำเอง เหมาะกับมือใหม่
ข้อเสีย – บางโฮสต์อาจจำกัดจำนวนวันย้อนหลัง หรืออาจเก็บไฟล์ไว้ในที่เดียวกับเว็บ

3. Backup ผ่านปลั๊กอิน (สำหรับ WordPress)

อีกทางเลือกในการสำรองข้อมูลสำหรับผู้ใช้ WordPress ด้วยปลั๊กอินที่หลากหลาย เช่น UpdraftPlus, Duplicator หรือ All-in-One WP Migration

ข้อดี – ตั้งเวลาสำรองข้อมูลได้ และเลือกเก็บไฟล์ไว้ที่อื่น เช่น Google Drive หรือ Dropbox ได้
ข้อเสีย – ต้องติดตั้งปลั๊กอินเอง และต้องมีพื้นที่บนคลาวด์

Backup แล้ว ก็อย่าลืม Restore ด้วยล่ะ

แน่นอนว่าการมี Backup อย่างเดียวยังไม่พอ อีกสิ่งที่หลายคนมักลืมคือ การ Restore หรือการกู้คืนเว็บไซต์กลับมาหลังจากเกิดปัญหา หากไม่มีวิธี Restore ที่ง่ายและรวดเร็ว ข้อมูลที่สำรองไว้ก็แทบจะไร้ประโยชน์เลยล่ะ

Restore ข้อมูลผ่านช่องทางไหนได้บ้าง?

  • 1-Click Restore ผ่านหน้าโฮสต์
  • แจ้ง Support ให้ช่วยกู้ข้อมูล
  • ใช้ปลั๊กอิน Restore บน WordPress (เช่น UpdraftPlus)

คำถามที่ควรถามก่อนเลือกใช้ Hosting

  • Restore ข้อมูลเองได้ไหม?
  • เก็บไฟล์ Backup ไว้กี่วัน?
  • มีค่าบริการเมื่อขอให้ Restore ข้อมูลหรือเปล่า?

เคล็ดลับในการจัดการ Backup ให้เวิร์ก

  • ตั้งให้ Backup อัตโนมัติไว้เสมอ (แนะนำเป็นรายวัน)
  • เก็บ Backup แยกจากโฮสหลัก เช่น บน Google Drive หรือ Dropbox
  • เช็กว่า Restore ได้ง่ายไหม มีปุ่มให้กู้คืนเองหรือไม่
  • ทดสอบกู้ข้อมูลดูบ้าง เพื่อความมั่นใจว่าใช้ได้จริง

สรุปแล้วไม่ว่าเว็บไซต์ของคุณจะเล็กแค่ไหน การ Backup และ Restore คือสิ่งที่ต้องมีตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะถ้าเว็บไซต์พังขึ้นมา การมี Backup เผื่อไว้จะช่วยคุณประหยัดเวลา ความเครียด และเงินในกระเป๋าได้มากกว่าที่คิด

สำหรับใครที่กำลังมองหาโฮสติ้ง hostatom มีบริการ Web Hosting คุณภาพสูงสำหรับผู้ใช้ในไทย ทั้งใช้งานง่าย เสถียร ปลอดภัย พร้อมระบบสำรองข้อมูลอัตโนมัติย้อนหลัง 21 วัน 21 ชุด ดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญคอยเคียงข้างคุณทุกขั้นตอน ตั้งแต่เริ่มต้นใช้งาน แก้ไขปัญหา ไปจนถึงแนะนำแนวทางการใช้งานอย่างมืออาชีพ

Was this article helpful?

Related Articles