หลายคนอาจคิดว่า “พอใช้ Cloud แล้ว ทุกอย่างจะปลอดภัย ไม่ล่มแน่นอน”
แต่ในความเป็นจริงแล้ว… Cloud ก็ยังสามารถล่มได้!
เพียงแต่ “มันจะล่มยากกว่า” และ “ฟื้นตัวได้เร็วกว่า” เท่านั้นเอง

ในบทความนี้เราจะพาไปดูว่า:

• ทำไม Cloud ถึงยังล่มได้
• แล้วจะทำอย่างไรให้ความเสี่ยงต่ำที่สุด?

รายใหญ่ก็ล่มมาแล้วทั้งนั้น!

แม้แต่ผู้ให้บริการระดับโลกยังเคยประสบปัญหาระบบล่มมาแล้วหลายครั้ง:

ปี	เหตุการณ์	รายละเอียด
2008	AWS (S3 global)	S3 ล่มทั่วโลกเนื่องจาก bit corruption และ gossip protocol ผิดพลาด
2011	AWS (EBS)	Elastic Block Store มีปัญหา “stuck IO” อ่าน/เขียนไม่ไหว ใช้เวลากู้คืนกว่า 2 วัน
2012	AWS (us-east-1) storm	พายุรุนแรงทำให้ data center ในเวอร์จิเนียดับทั้งภูมิภาค
2012	Azure	DNS, SSL cert, การคำนวณ Leap day ผิดพลาดหลายรายการ
2017	AWS S3 Region US-East-1 ล่ม	เว็บไซต์จำนวนมากไม่สามารถโหลดรูปหรือไฟล์จาก S3 ได้
2018	Azure (North Europe)	cooling failure กระทบ 11 ชั่วโมงใน North Europe
2019	AWS (power failure)	us-east-1 data center ไฟดับและ backup generator ล้มเหลว เกิด data loss
2020	Google ล่มบางโซน	ส่งผลกระทบบริการหลัก เช่น Gmail, Drive, YouTube
2021	Azure	OpenID key removal และ DNS issue ทำให้ Azure AD ล่มหลายชั่วโมง
2021	Facebook ล่มทั่วโลก	ระบบ DNS มีปัญหา ไม่สามารถเชื่อมต่อกลับเข้าระบบได้
2021	Fastly (CDN) ล่ม	เว็บดัง ๆ อย่าง Amazon, Reddit, NYTimes เข้าใช้งานไม่ได้
2022	AWS (us-east-2)	site-to-site VPN และ Internet connectivity ล่ม
2023	AWS (us-east-1)	outage ครั้งใหญ่กลางปี กระทบสื่อข่าวและองค์กรสำคัญ
2023	Azure	ถูก DDoS ที่ Azure Portal ~2.5 ชั่วโมง
2023	Google Cloud (Paris)	น้ำท่วมและไฟไหม้ศูนย์ข้อมูล โครงข่ายล่มบางส่วน
2024	AWS (us-east-1 Kinesis)	Kinesis ล่ม 7 ชั่วโมง กระทบบริการหลายตัว
2024	Microsoft (CrowdStrike update)	update จาก CrowdStrike ทำให้ Microsoftล่มทั่วโลก 19 ก.ค. 2024
2025	AWS (eu-north-1)	ก.พ. 2025 networking โน้ตเวิร์กล่มใน Stockholm AZ
2025	Google Cloud	มิ.ย. 2025 IAM issue กระทบ Google Home, Spotify, Twitch ฯลฯ

ข้อเท็จจริง: ไม่มีระบบไหน “ไม่เคยล่ม” แต่สิ่งที่ต่างคือ การฟื้นตัวและการรับมือ

Cloud ออกแบบให้พังยาก ด้วย Cluster และ HA

ระบบ Cloud สมัยใหม่ถูกออกแบบให้ “พังได้ยาก” ด้วยแนวคิดเช่น:

• Cluster System: กระจายโหลดงานไปหลายเครื่อง หากเครื่องใดเครื่องหนึ่งล่ม ก็ยังทำงานต่อได้
• HA (High Availability): ตรวจสอบและสลับการทำงานอัตโนมัติเมื่อพบปัญหา
• Self-Healing: ระบบสามารถสร้างเซิร์ฟเวอร์ใหม่แทนเครื่องที่ล่มได้ทันที

แม้จะยังล่มได้ แต่การออกแบบแบบนี้ช่วยให้ระบบฟื้นตัวได้ไว และกระทบผู้ใช้น้อยที่สุด

ผู้ให้บริการ Cloud ทุกรายมี SLA – hostatom ก็มี 99.9%

SLA หรือ Service Level Agreement คือสัญญาความพร้อมของระบบ เช่น:

• AWS / Google Cloud: SLA อยู่ที่ 99.9%–99.99%
• hostatom ให้ SLA 99.9% สำหรับบริการ Cloud Hosting

99.9% uptime แปลว่าเว็บไซต์จะดาวน์ได้ไม่เกินประมาณ 8.76 ชั่วโมง/ปี
หากระบบล่มเกินนั้นในปีเดียว อาจมีสิทธิ์ขอเครดิตหรือคืนเงินตามข้อตกลง SLA

Trust No One – สำรองข้อมูลเสมอ

Cloud ไม่ได้แปลว่าข้อมูลคุณปลอดภัยจากทุกอย่าง

• ไฟล์อาจถูกลบโดยผู้ใช้เอง
• มีการตั้งค่าผิดจนข้อมูลสูญหาย
• ถูกโจมตีจาก ransomware หรือมัลแวร์

ดังนั้น การสำรองข้อมูล (Backup) อย่างสม่ำเสมอจึงสำคัญมาก
hostatom มีระบบสำรองข้อมูลอัตโนมัติให้บริการ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดคิด

อยากไม่ล่มเลย ต้องมี DR Site อย่างน้อย 2 แห่ง

ถ้าต้องการ Zero Downtime หรือ Recovery เร็วสุด ๆ ต้องลงทุนเพิ่ม:

• ทำ DR Site (Disaster Recovery) อย่างน้อย 1–2 แห่ง
• กระจายข้อมูลและระบบไปไว้คนละศูนย์ข้อมูล (Data Center)
• ใช้ระบบ Active-Passive หรือ Active-Active สำหรับการโยกย้ายบริการอัตโนมัติ

💰แน่นอนว่า… ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น เพราะต้องจ่ายทั้งระบบหลักและระบบสำรอง

แนะนำสำหรับธุรกิจที่ไม่สามารถหยุดให้บริการได้ เช่น ธนาคาร อีคอมเมิร์ซ หรือเว็บไซต์ที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก

สรุป: Cloud เสถียรจริง แต่ไม่ใช่ “กันล่ม 100%”

• Cloud ช่วยลดโอกาสล่ม และฟื้นตัวได้เร็ว
• มี SLA กำกับเพื่อรับประกันความพร้อมใช้งาน
• แต่สุดท้าย… คุณยังต้อง สำรองข้อมูลเอง
• และถ้าต้องการระดับ “ไม่มีวันล่ม” จริง ๆ ต้องลงทุนกับ DR Site

Cloud Hosting จาก hostatom พร้อม SLA 99.9% และระบบ Backup

hostatom ให้บริการ Cloud Hosting พร้อมระบบเสถียร รวดเร็ว และปลอดภัย

• มี SLA 99.9%
• มี Auto Backup และ Restore
• รองรับ WordPress และ CMS
• Support คนไทย พูดง่าย เข้าใจตรงจุด

เลือกแผนที่เหมาะกับคุณได้ที่
👉 https://www.hostatom.com/cloud-vps/